การทำคุกกี้แสนอร่อย
1. คนไทยส่วนใหญ่ชอบคุกกี้ที่มีกลิ่นหอม และรสชาติที่ดีจากเนยสด
ดังนั้นควรเลือกเนยสดจึงจะดีที่สุด แต่ถ้าต้องการลดต้นทุนก็สามารถใช้มาการีนทดแทนได้ในบางส่วน
แต่ก็ต้องทดแทนด้วยกลิ่นสังเคราะห์ เพื่อช่วยให้ขนมน่ารับประทานมากขึ้น
2. ในขั้นตอนการทำ
บางสูตรจะนิยมให้มีการตีส่วนผสมเนยกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู
จึงควรเลือกเนยสดที่่อุณหภูมิเย็นแต่ไม่แข็งมากนัก
เนื่องจากอาจจะทำให้เครื่องตีใข่เสื่อมประสิทธิภาพได้
แต่บางสูตรไม่ต้องตีเนยมากนักก็ควรเลือกใช้เนยสดที่นิ่มจะช่วยให้ผสมวัตถุดิบได้ง่ายขึ้น
3. ในการตีเนยกับน้ำตาล ถ้าตีจนขึ้นฟูมากลักษณะของขนมก็จะฟู ร่วน นิ่มง่าย
โปร่งเบา และไม่ค่อยอยู่ตัว เมื่ออบอาจจะแผ่กระจายมากกว่าปกติ
ถ้าตีให้ขึ้นฟูน้อยมากเกินไป ลักษณะของคุกกี้ก็จะดูแข็งกระด้าง
เมื่อรับประทานก็จะกรอบแข็ง แต่มีความกรอบที่คงทนมากกว่าการตีให้ขึ้นฟูมาก
ดังนั้นขั้นตอนในการตีเนยจึงถือว่าสำคัญมาก ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญประกอบเข้าด้วยกัน
4. หัวตีที่ใช้ในการตีเนยกับน้ำตาลให้ขึ้นฟู
ถ้าเป็นเครื่องตีไข่ที่มีขนาดตั้งแต่ 3 ลิตรขึ้นไป
ก็ควรจะใช้หัวตีรูปใบไม้
เนื่องจากหัวตีชนิดนี้สามารถทนความหนืดและแข็งของเนยและส่วนผสมได้ดีกว่าการใช้หัวตีตะกร้อ
ซึงถ้านำหัวตะกร้อมาใช้ตีนั้นข้อดีก็คือ ส่วนผสมจะขึ้นฟูเร็ว
แต่ตัวเส้นลวดจะขาดง่าย ถ้าเป็นเครืองแบบมือถือ ซีตะกร้อของเครืองแบบนี้จะหนากว่า
ก็สามารถใช้ตีได้เช่นกัน แต่ไม่ควรตีในปริมาณที่มากนัก
5. การผสมแป้งกับส่วนผสมเนยควร
"คนอย่างเบามือ" หมายถึง ในการคนนั้นควรคนให้ส่วนผสมเข้ากันโดยเร็วที่สุด
แต่ไม่ใช่การกวนหรือการตีส่วนผสมด้วยความเร็วที่สูง
เนื่องจากการกวนหรือคนส่วนผสมนานๆ จะมีส่วนที่ทำให้แป้งเหนียว
และขนมที่ได้จะมีลักษณะแข็งกระด้างได้
6. การปั้นหรือขึ้นรูปคุกกี้ก่อนนำเข้าอบ
ขนาดของคุกกี้ก็มีผลต่อระยะเวลาที่ใช้ในการอบ โดยเฉพาะคุกกี้ที่ใช้ที่ตักไอศกรีมแล้วไม่ได้กดให้มีลักษณะที่แบนลง
ก็จะทำให้ระยะเวลาในการอบมากกว่าคุกกี้ที่ขึ้นรูปทรงแบบแบน
ส่วนคุกกี้ตัวไหนที่แป้งมีลักษณะเหลวเมื่อขึ้นรูป
ก็ควรเกลี่ยส่วนผสมให้มีความบางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สีของขนมเท่ากันเมื่ออบเสร็จ
และเมื่อปั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว การวางเรียงคุกกี้ลงบนถาดอบก็สำคัญเช่นกัน
ควรวางระยะห่างกันประมาณ 1 นิ้ว
เพื่อกันมิให้คุกกี้นั้นเกาะติดกันเมื่อขึ้นฟู ซึ่งจะทำให้คุกกี้เสียรูปทรงได้
ส่วนอีกประการหนึ่งระยะห่างนั้นจะมีผลต่ออุณหภูมิที่จะเข้าไปถึงชิ้นที่อยู่ตรงกลาง
ถ้าเรียงชิดติดกันมากชิ้นที่อยู่ด้านข้างก็จะสุกก่อน
ส่วนชิ้นตรงกลางก็จะใช้เวลาที่นานกว่า ส่วนการปั้น ควรปั้นให้มีขนาดเท่าๆกัน
เพื่อให้ขนมสุกพร้อมกัน
7. อุณหภูมิในการอบในสูตรแต่ละตัวจะบอกไว้อยู่แล้ว
เหตุที่แต่ละตัวใช้เวลาไม่เท่ากันเนื่องจากลักษณะและรูปทรงของขนม คุกกี้ที่มีตัวแผ่นบางก็ควรใช้อุณหภูมิสูง
แต่ใช้เวลาสั้น คุกกี้ก็จะกรอบร่วนพอดี
ถ้าเป็นคุกกี้ที่มีชิ้นหนาก็ควรใช้อุณหภูมิที่ต่ำลงมาพอสมควร
เพื่อให้ขนมสุกทั่วกัน โดยที่ภายนอกขนมนั้นจะไม่เกิดสีที่ไหม้
โดยทั่วไปจะใช้อุณหภูมิ 300-350 องศาฟาเรนไฮต์
8. ถั่วต่างๆ ที่จะนำมาใส่ลงในส่วนผสมนั้นควรผ่านการอบให้สุกเสียก่อน
เนื่องจากเวลาที่ใช้ในการอบคุกกี้ต่อครั้ง ไม่สามารถทำให้ถั่วสุกได้
และเพื่อป้องกันความชื้นที่มีอยู่ในถั่วที่อาจจะทำให้คุกกี้นั้นนิ่มได้ง่าย
9. เมื่ออบคุกกี้สุกแล้วควรจะแซะและวางลงพักบนตะแกรงให้เย็นทันที
ถ้าปล่อยให้เย็นในถาด คุกกี้จะเกาะติดถาดทำให้เสียรูปทรงเวลาแซะออกมา
และที่สำคัญในระหว่างการแซะนั้นไม่ควรวางชิ้นคุกกี้ให้ซ้อนกันมากๆ
จะทำให้คุกกี้มีรูปร่างที่ผิดแปลกไปได้
10. คุกกี้เป็นขนมที่สามารถทำและเก็บไว้ได้นาน
ไม่ว่าจะอยู่ในรูปที่ยังไม่ได้อบก็สามารถเก็บได้ โดยบรรจุภาชนะให้ดี แช่ตู้เย็น
ถ้าต้องการให้นานขึ้นอีก ก็แช่แข็ง แล้วค่อยแบ่งอบตามต้องการได้
ส่วนหลังจากเมื่ออบเสร็จแล้ว ก็สามารถเก็บได้นานอีกเช่นกัน
เพียงแต่เก็บในบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่สามารถป้องกันอากาศเข้าได้ก็จะเก็บได้เป็นเดือน
ข้อสำคญอีกหนึงข้อคือ ก่อนบรรจุขนมลงภาชนะนั้นจะต้องพักขนมให้เย็นสนิทเสียก่อนที่จะบรรจุ
อันนี้น่าร๊ากกกกก
ตอบลบเป็นเทคนิคที่ดีมาก เป็นประโยชน์ดี
ตอบลบน่าทานมากค่ะ
ตอบลบน่ากินมากคะ ลดความอ้วนได้ 55555
ตอบลบน่ากินเเถมยัง น่ารักอีกด้วย
ตอบลบอื้มมมม มีสาระ
ตอบลบ